1,873 Visits

เมื่อรู้ว่าพ่อแม่เป็นอัลไซเมอร์ เริ่มต้นดูแลอย่างไรดี?

การได้ยินว่าพ่อหรือแม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์อาจทำให้เกิดอารมณ์หลายอย่างปะปนกัน ทั้งเศร้า กังวล โกรธ หรือรู้สึกไม่มีที่พึ่ง บางครั้งอาจรู้สึกโล่งใจที่ได้คำอธิบายว่าทำไมผู้ป่วยจึงมีอาการต่างๆ ความรู้สึกทั้งหมดนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา(1) แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณไม่ได้เดินทางคนเดียว มีความช่วยเหลือมากมายและแนวทางที่จะช่วยให้ทั้งคุณและคนที่คุณรักใช้ชีวิตได้ดีขึ้น 

ทำความเข้าใจโรคอัลไซเมอร์เป็นอันดับแรก 

โรคอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะสมองเสื่อม เกิดจากการสะสมของโปรตีนผิดปกติในสมองซึ่งรวมตัวกันเป็น "แผ่นพลัค" และ "เส้นใยพันกัน" ทำให้สมองทำงานผิดปกติและเซลล์สมองตายไปเรื่อยๆ อาการที่พบบ่อยในระยะแรกคือความจำเสื่อม โดยเฉพาะเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ผู้ป่วยอาจลืมเรื่องที่เพิ่งคุยกันไป หรือถามคำถามซ้ำแล้วซ้ำอีก นอกจากนี้ยังอาจมีปัญหาในการวางแผน ตัดสินใจ หรือทำตามขั้นตอนต่างๆ เช่น ทำอาหารหรือคิดเงินทอน 

ผู้ป่วยอาจสับสนเรื่องเวลาและสถานที่ หลงทางในที่คุ้นเคย หาคำพูดไม่เจอ หรือมองเห็นสิ่งต่างๆ ผิดไป เช่น ประมาณระยะทางผิดพลาด ทำความเข้าใจลักษณะอาการเหล่านี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของโรคและเตรียมใจกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ดีขึ้น 

สร้างความสัมพันธ์กับทีมแพทย์ 

หนึ่งในสิ่งแรกที่ควรทำคือแจ้งแพทย์ว่าคุณเป็นผู้ดูแลผู้ป่วย การลงทะเบียนเป็น "ผู้ดูแล" อย่างเป็นทางการจะเปิดโอกาสให้คุณเข้าถึงข้อมูลและการสนับสนุนต่างๆ ได้มากขึ้น แพทย์สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ บอกแหล่งช่วยเหลือ ส่งต่อคุณไปพบผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ เช่น นักจิตวิทยา นักกายภาพบำบัด หรือนักสังคมสงเคราะห์ 

นอกจากนี้ แพทย์อาจจัดเวลานัดหมายที่เหมาะสมกับคุณมากขึ้น เสนอให้ตรวจสุขภาพประจำปีและฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี รวมถึงออกหนังสือรับรองต่างๆ หากคุณต้องการขอสิทธิประโยชน์ ควรนัดตรวจสุขภาพให้ผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เนิ่นๆ หลังจากได้รับการวินิจฉัย เพราะการติดตามอาการอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้จัดการโรคได้ดีขึ้น 

ขอรับการประเมินความต้องการ 

การติดต่อหน่วยงานสาธารณสุขหรือสวัสดิการสังคมในพื้นที่เพื่อขอรับการประเมินเป็นสิ่งสำคัญมาก มีการประเมินสองประเภทที่คุณควรรู้จัก ประการแรกคือการประเมินความต้องการของผู้ป่วย ซึ่งจะดูว่าผู้ป่วยต้องการความช่วยเหลือด้านไหนบ้าง เช่น การอาบน้ำ แต่งตัว ทานอาหาร หรือรับประทานยา 

ประการที่สองคือ การประเมินความต้องการของผู้ดูแล ซึ่งจะมุ่งเน้นที่คุณเอง ดูว่าคุณต้องการการสนับสนุนอะไรบ้างเพื่อให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างยั่งยืน การประเมินทั้งสองแบบสามารถทำพร้อมกันหรือแยกทำก็ได้ตามความสะดวกของคุณ การประเมินเหล่านี้อาจนำไปสู่การได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ เช่น บริการดูแลที่บ้าน อุปกรณ์ช่วยเหลือ หรือสิทธิประโยชน์ทางการเงิน ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระของคุณได้มาก 

วางแผนเรื่องกฎหมายและการเงินตั้งแต่เนิ่นๆ 

แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่อยากคิดถึง แต่การจัดการเรื่องเอกสารทางกฎหมายและการเงินตั้งแต่ระยะแรก จะช่วยให้ทุกอย่างราบรื่นในอนาคต ขณะที่ผู้ป่วยยังสามารถตัดสินใจได้ ควรช่วยเตรียมเอกสารมอบอำนาจทางการแพทย์และการเงิน เอกสารนี้จะระบุว่าใครเป็นผู้ที่ผู้ป่วยไว้วางใจให้ตัดสินใจแทนเมื่อผู้ป่วยไม่สามารถตัดสินใจได้เองแล้ว 

เรื่องบัญชีธนาคารก็ควรวางแผนไว้ด้วย อาจพิจารณาเปิดบัญชีร่วมกัน หรือให้ผู้ดูแลมีอำนาจในการช่วยจัดการเงิน ควรแจ้งธนาคารเกี่ยวกับสถานการณ์เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสม เพราะหากผู้ป่วยสูญเสียความสามารถในการตัดสินใจในภายหลัง บางธนาคารอาจ "อายัด" บัญชีร่วมทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถใช้เงินได้ การทำพินัยกรรมก็เป็นอีกเรื่องสำคัญ ควรช่วยจัดทำตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถระบุได้ว่าต้องการให้ทรัพย์สินตกทอดแก่ใคร และมีความประสงค์อย่างไรเกี่ยวกับงานศพ 

จัดการเรื่องการขับรถ 

หากผู้ป่วยยังขับรถอยู่ เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ไม่ได้หมายความว่าต้องหยุดขับรถทันที แต่สิ่งสำคัญคือความปลอดภัย ตามกฎหมาย ผู้ป่วยต้องแจ้งกรมขนส่งและบริษัทประกันภัยทันทีหลังได้รับการวินิจฉัย หน่วยงานเหล่านี้จะประเมินว่าผู้ป่วยยังขับรถได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ และอาจขอให้ทดสอบการขับรถ 

หลายคนจะตัดสินใจหยุดขับรถเอง เพราะรู้สึกเครียดหรือไม่มั่นใจ แต่บางคนอาจยากที่จะยอมรับ คุณอาจต้องปรับตัวกับการขับรถให้ผู้ป่วยมากขึ้น หรือหาทางเลือกอื่นในการเดินทาง เช่น ใช้บริการส่งสินค้าถึงบ้านแทนที่จะขับรถไปซื้อของ การจัดการเรื่องนี้ด้วยความเข้าใจและอดทนจะช่วยให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกว่าสูญเสียอิสระภาพมากเกินไป 

สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ 

การสื่อสารที่ดีเป็นรากฐานสำคัญของการดูแล ตั้งแต่ระยะแรกของโรค ผู้ป่วยมักมีปัญหาในการสื่อสาร อาจหาคำพูดไม่เจอ สับสนคำพูด ถามซ้ำๆ หรือตอบไม่ตรงคำถาม การปรับวิธีสื่อสารของคุณจะช่วยได้มาก ลองพูดช้าๆ ชัดเจน ใช้ประโยคสั้นๆ ง่ายๆ แต่อย่าพูดราวกับพูดกับเด็ก เพราะผู้ป่วยยังคงเป็นผู้ใหญ่ที่มีศักดิ์ศรีและควรได้รับความเคารพ 

การสบตาและนั่งในระดับสายตาเดียวกันจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าคุณให้ความสนใจ ควรลดเสียงรบกวน เช่น ปิดทีวีหรือวิทยุขณะคุยกัน ให้เวลาเขาคิดและตอบคำถาม อย่ารีบเร่ง อย่าพูดแทนหรือขัดจังหวะ การใช้รูปภาพหรือสิ่งของช่วยสื่อสารก็เป็นวิธีที่ดี เช่น ยกถ้วยขึ้นเมื่อถามว่าต้องการน้ำชาไหม อย่าลืมตรวจสอบว่าผู้ป่วยสวมแว่นตาหรือเครื่องช่วยฟังถ้ามี และให้แน่ใจว่าอุปกรณ์เหล่านี้ทำงานได้ดี 

ปรับบ้านให้ปลอดภัย 

การปรับสภาพแวดล้อมในบ้านจะช่วยให้ผู้ป่วยอยู่ได้อย่างปลอดภัยและรักษาความเป็นอิสระให้นานที่สุด การเพิ่มแสงสว่างในบ้านเป็นสิ่งแรกที่ควรทำ โดยเฉพาะทางเดินและห้องน้ำ ควรใช้แสงธรรมชาติให้มากที่สุด เอาสิ่งของที่อาจทำให้สะดุดล้มออก เช่น พรมที่เป็นคลื่น สายไฟที่วางอยู่ตามพื้น หรือเฟอร์นิเจอร์ที่วางขวางทาง 

การใช้เฟอร์นิเจอร์และผ้าที่มีสีตัดกับพื้นและผนังจะช่วยให้ผู้ป่วยมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น วางของสำคัญไว้ที่เดิมเสมอ เช่น กุญแจไว้ข้างประตู กระเป๋าเงินไว้บนโต๊ะ ควรเปิดประตูห้องน้ำและเปิดไฟทิ้งไว้ตอนกลางคืน อาจติดป้ายบอกทางหรือใช้ไฟเซ็นเซอร์ที่เปิดอัตโนมัติเมื่อมีคนเดินผ่าน การปรับแต่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะช่วยลดความสับสนและป้องกันอุบัติเหตุได้มาก 

รักษากิจกรรมและการออกกำลังกาย 

การมีกิจกรรมที่ใช้สมองและร่างกายยังคงสำคัญมากสำหรับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ การทำกิจกรรมประจำวัน แม้จะเป็นเรื่องง่ายๆ เช่น ช่วยพับผ้า จัดโต๊ะอาหาร รดน้ำต้นไม้ ก็มีคุณค่า เพราะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกมีประโยชน์และรักษาความภาคภูมิใจในตนเอง ควรปรับกิจกรรมให้เหมาะกับความสามารถของผู้ป่วย เช่น หากผู้ป่วยไม่สามารถใช้เครื่องซักผ้าได้แล้ว อาจให้ช่วยพับผ้าแทน 

การออกกำลังกายมีประโยชน์มากมาย ทั้งต่อสุขภาพหัวใจ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การทรงตัว และอารมณ์ การเดิน ว่ายน้ำ ไทเก๊ก หรือแม้แต่ทำสวนและเต้นรำก็เป็นการออกกำลังกายที่ดี หากผู้ป่วยเคลื่อนไหวลำบาก การออกกำลังกายแบบนั่งบนเก้าอี้ก็เป็นทางเลือกที่ดี กิจกรรมที่ผู้ป่วยเคยชอบ เช่น ฟังเพลง ดูรูปถ่ายเก่า หรือทำงานฝีมือ ยังช่วยกระตุ้นความทรงจำและให้ความสุข การทำกิจกรรมร่วมกันยังเป็นโอกาสที่ดีในการใช้เวลาคุณภาพด้วยกัน 

ดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ 

การทานอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำเพียงพอเป็นรากฐานสำคัญของสุขภาพที่ดี ผู้ป่วยควรได้รับอาหารครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 5 ส่วน พร้อมโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต บางครั้งผู้ป่วยอาจมีปัญหาเรื่องความอยากอาหาร ไม่รู้จักอาหาร หรือลืมวิธีใช้ช้อนส้อม หากเกิดปัญหาเหล่านี้ ลองปรับเปลี่ยนวิธีนำเสนออาหาร เช่น ทำเป็นสมูทตี้ หรือเลือกอาหารที่ทานได้โดยไม่ต้องใช้ช้อนส้อม 

การใช้จานที่มีสีตัดกับอาหารและโต๊ะจะช่วยให้ผู้ป่วยมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น เช่น ใช้จานสีแดงใส่ข้าวสีขาว วางบนผ้าปูโต๊ะสีเขียว อย่าลืมให้ผู้ป่วยดื่มน้ำตลอดทั้งวัน ประมาณ 6-8 แก้ว การใช้แก้วใสจะช่วยให้ผู้ป่วยเห็นเครื่องดื่มข้างใน ซึ่งอาจกระตุ้นให้ดื่มมากขึ้น 

การนอนหลับที่มีคุณภาพก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรตั้งเวลานอนให้สม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ในตอนเย็น ทำกิจกรรมผ่อนคลายก่อนนอน เช่น ฟังเพลงเบาๆ ห้องนอนควรเงียบ มืด และเย็นสบาย มีนาฬิกาที่บอกว่าตอนนี้เป็นกลางวันหรือกลางคืนอยู่ข้างเตียง การดูแลเรื่องเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 

หากผู้ป่วยยังขับรถอยู่ เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ไม่ได้หมายความว่าต้องหยุดขับรถทันที แต่สิ่งสำคัญคือความปลอดภัย ตามกฎหมาย ผู้ป่วยต้องแจ้งกรมขนส่งและบริษัทประกันภัยทันทีหลังได้รับการวินิจฉัย หน่วยงานเหล่านี้จะประเมินว่าผู้ป่วยยังขับรถได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ และอาจขอให้ทดสอบการขับรถ 

หลายคนจะตัดสินใจหยุดขับรถเอง เพราะรู้สึกเครียดหรือไม่มั่นใจ แต่บางคนอาจยากที่จะยอมรับ คุณอาจต้องปรับตัวกับการขับรถให้ผู้ป่วยมากขึ้น หรือหาทางเลือกอื่นในการเดินทาง เช่น ใช้บริการส่งสินค้าถึงบ้านแทนที่จะขับรถไปซื้อของ การจัดการเรื่องนี้ด้วยความเข้าใจและอดทนจะช่วยให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกว่าสูญเสียอิสระภาพมากเกินไป 

อย่าลืมดูแลตัวเอง 

การดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์เป็นงานที่หนักทั้งร่างกายและจิตใจ หลายคนมุ่งเน้นดูแลผู้ป่วยจนลืมดูแลตัวเอง แต่ความจริงแล้ว การดูแลตัวเองเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้คุณสามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างยั่งยืน ลองนึกว่าคุณเป็นเหมือนแบตเตอรี่ ถ้าหมดไฟก็ไม่สามารถช่วยใครได้ การพักผ่อนอย่างสม่ำเสมอ แม้แค่สั้นๆ เพียงหนึ่งชั่วโมงหรือสองชั่วโมง จะช่วยให้คุณฟื้นพลังได้ 

การทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และนอนหลับให้เพียงพอเป็นพื้นฐานสำคัญของสุขภาพที่ดี การออกไปข้างนอกเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ แม้แค่ 10-15 นาที ก็ช่วยลดความเครียดและปรับอารมณ์ได้ อย่าทิ้งงานอดิเรกหรือกิจกรรมที่คุณรัก เพราะสิ่งเหล่านี้ช่วยให้คุณมีพื้นที่เป็นตัวของตัวเอง การพูดคุยกับเพื่อน ครอบครัว หรือเข้ากลุ่มสนับสนุนผู้ดูแล ก็ช่วยให้คุณระบายความรู้สึกและรู้ว่าไม่ได้เผชิญปัญหาคนเดียว 

อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ บอกญาติพี่น้องว่าคุณต้องการความช่วยเหลือ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ เช่น ไปจ่ายบิล ซื้อยา หรือมานั่งเป็นเพื่อนผู้ป่วยสักชั่วโมงก็ช่วยได้มาก บริการดูแลชั่วคราวจากภาครัฐหรือเอกชนก็เป็นทางเลือกที่ดี ทำให้คุณได้พักผ่อนหรือทำธุระส่วนตัว หากรู้สึกว่าเครียดมาก หรือมีอาการซึมเศร้า ควรพบนักจิตวิทยาหรือแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา 

หาแหล่งช่วยเหลือในชุมชน 

ในประเทศไทย มีแหล่งช่วยเหลือหลายแห่งที่คุณสามารถติดต่อได้ ศูนย์สุขภาพจิตชุมชนในพื้นที่ของคุณสามารถให้คำแนะนำและบริการต่างๆ โรงพยาบาลใหญ่หลายแห่งมีคลินิกความจำที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านโรคสมองเสื่อม มูลนิธิและองค์กรต่างๆ ที่ช่วยเหลือผู้ป่วยอัลไซเมอร์ก็มีบริการให้คำปรึกษาและจัดกิจกรรมสำหรับผู้ป่วยและผู้ดูแล สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดก็อาจให้ความช่วยเหลือได้ โดยเฉพาะเรื่องสิทธิประโยชน์และสวัสดิการ 

บทสรุป 

การเดินทางในฐานะผู้ดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์เป็นเส้นทางที่ยาวนานและท้าทาย จะมีทั้งวันที่ดีและวันที่ยากลำบาก แต่จำไว้เสมอว่าคุณกำลังทำสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุณไม่ได้อยู่คนเดียว มีคนอีกมากมายที่กำลังเดินทางในเส้นทางเดียวกัน และมีความช่วยเหลือพร้อมให้เมื่อคุณต้องการ 

การเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ การขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น และการดูแลตัวเองเป็นกุญแจสำคัญสู่การดูแลที่ยั่งยืน แม้ว่าอาการของโรคจะเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา แต่ความรักและการดูแลของคุณจะทำให้ชีวิตของผู้ป่วยมีคุณภาพและศักดิ์ศรีจนถึงวันสุดท้าย อย่าลืมให้เกียรติตัวเอง เพราะสิ่งที่คุณทำเป็นเรื่องยิ่งใหญ่และมีคุณค่าอย่างแท้จริง

เอกสารอ้างอิง 

  1. Alzheimer's Society. Caring for a person with dementia: A practical guide. 2022.

Website Satisfaction Assessment Form

Eisai (Thailand) Marketing Co, Ltd.
6th Floor, GPF Witthayu Tower A
93/1 Wireless Road, Lumpini,
Pathumwan, Bangkok 10330,Thailand
Tel. (+66) 2 256-6296-8
https://www.eisai.co.th

Privacy Policy

© 2025 Understand MCI